เทศน์พระ

ทำเอา

๒๒ ก.ค. ๒๕๕๖

 

ทำเอา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งสตินะ สิ่งที่ล่วงมาแล้วเป็นอดีตไปแล้ว เอาปัจจุบันนี้ เอาปัจจุบันนี้เพราะเราบวชเรียนมา บวชเรียนมาเพื่อหวังผลประโยชน์กับเรา ผลประโยชน์นี้จะเกิดขึ้นมาได้จากการกระทำของเรา ทำเอานะ ถ้าใครทำจริงคนนั้นจะได้ความจริง แต่ถ้าใครยังสัพเพเหระยังสะเปะสะปะอยู่ มันก็จะได้ความสัพเพเหระนั้น มันอยู่ที่จริตนิสัยนะ เราตั้งสัจจะของเรา

พรุ่งนี้วันเข้าพรรษา ใครจะอธิษฐานนะ “ธุดงค์” ต้องให้บอกกันไว้ว่าใครจะธุดงค์เข้มข้นมากขนาดไหน แต่โดยพื้นฐาน ถ้าวัดโดยทั่วไป วัดอยู่ทางนั้นจะทำได้ก็ทำ แต่ที่นี่ต้องทำ ที่นี่เขาจะถือธุดงควัตร ถือธุดงควัตรไว้ให้มันสมฐานะว่าเราเป็นพระป่า พระป่านะ ชื่อว่าพระป่าเฉยๆ แล้วก็ห่มผ้าสีคล้ำๆ แล้วก็ว่าผ้าสีคล้ำๆ นั้นเป็นศักยภาพ สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เชิดศรัทธาเขา แต่นั้นมันเป็นเรื่องของสีผ้าไง

แต่ถ้าพระธุดงค์ ธุดงค์ ๑๓ ข้อ แล้วพระธุดงค์ ธุดงควัตร เห็นไหม ถ้าธุดงควัตรเราจะถือธุดงค์ของเรา ถ้าถือธุดงค์ของเรา ใครจะถือธุดงค์มากขึ้นข้อไหนต้องบอกกันไว้ บอกกันไว้เพื่อคนอื่นเขาจะได้ไม่กีดขวางทางของเราไง นี่ในสัปปายะ เห็นไหม หมู่คณะเป็นสัปปายะ ถ้าหมู่คณะเป็นสัปปายะเราตั้งสัจจะสิ่งใด ถ้าหมู่คณะเป็นธรรมด้วยกัน เอื้อเฟื้อในธรรมวินัย คำว่าเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันนี่ เขาจะเปิดโอกาสให้ อย่างเช่นเรานั่งภาวนาอยู่นี่ ถ้าเรานั่งภาวนาอยู่ ถ้าเขามาทำสิ่งใดกระทบกระเทือนเรา จิตใจของเรามันขุ่นมัวไง เรารักษาใจของเราเกือบเป็นเกือบตาย ทำไมเขาไม่เอื้อเฟื้อเลย แต่ถ้าเราบอกกันไว้ เพื่อความไม่ผิดใจกันไง

ในเมื่อเราจะเข้าพรรษานะ เวลาเข้าพรรษาเขาเลือกที่ เลือกสถานที่ เลือกครูบาอาจารย์ เลือกสัปปายะ เลือกหมู่คณะ เพื่อการภาวนาจะได้ราบรื่นไง แล้วถ้าทีนี้มันอยู่ที่ตัวเราแล้ว เราจะมีความจริงขนาดไหน ดูสิ จิตใจนี้มันมหัศจรรย์นัก เวลามันคิดดีมันคิดได้มหาศาลเลย เวลามันคิดร้ายนะ มันคิดร้าย มันทำลายเรานะ

ใจของเราถ้าเราควบคุมมันได้ เห็นไหม อยู่ที่การกระทำ ใครทำดีได้มากขนาดไหน เรามีความจงใจได้มากขนาดไหน สิ่งนั้นเป็นโอกาสของเรานะ การเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์สมบัติที่มีค่ามาก มันมีค่าเพราะอะไร เพราะเราเกิดมาเรามีจิตไง นี่ปฏิสนธิจิต จิตเกิดในไข่ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ เกิดในครรภ์ การกำเนิด ๔

ถ้ากำเนิดมาแล้ว ดูสิ กำเนิดของเดรัจฉาน เห็นไหม เดรัจฉานนี้เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นกวาง เกิดเป็นกระต่าย เกิดเป็นนกต่างๆ สิ่งนั้นเกิดเป็นเดรัจฉานนะ แต่ในเดรัจฉาน เห็นไหม เป็นพระโพธิสัตว์ เดรัจฉานย่อมเป็นหัวหน้าฝูง เดรัจฉานยังพยายามทำคุณงามความดีได้ แต่เดรัจฉาน เห็นไหม

ดูสิเราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่เป็นอริยทรัพย์ อริยทรัพย์เพราะมนุษย์เป็นผู้ที่สามารถกระทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ เพราะมนุษย์ เห็นไหม กายกับใจ กายกับใจ ถ้ากายกับใจมันสามารถทำความสงบของใจ ถ้าอัปปนาสมาธินะ จิตใจนี่มันวางร่างกายของเราได้เอง ร่างกายของเราแท้ๆ จิตใจมันวางได้เลย เพราะมันสักแต่ว่ารู้ มันปล่อยวางเข้ามาหมดนะ สักแต่ว่ารู้ ความรู้อันนี้มันสักแต่ว่าเพราะอะไร เพราะมันไม่อาศัยร่างกายนี้ไง มันไม่อาศัยอะไรเป็นที่สถิตอยู่ของมันไง แต่โดยปกติธรรมชาติของมัน ดูสิเวลาจิตมันต้องเสวยภพ เห็นไหม ดูสิมนุษย์สมบัติ เทวดา อินทร์ พรหม เขาต้องเสวยภพของเขา จิตใจนี่มันต้องมีที่อยู่ที่อาศัยของเขา มีบ้านมีเรือนของเขา

แต่ถ้าเราเข้าอัปปนาสมาธิ เรามีสมาธิธรรมเป็นที่พึ่งอาศัย นี่มันสักแต่ว่ารู้ คำว่าสักแต่ว่ารู้มันละเอียดลึกซึ้งขนาดนั้นนะ นี่กายกับใจ กายกับใจ เวลามันปล่อยวาง ปล่อยวางได้ขนาดนั้น แต่มันปล่อยวางแบบโลกๆ ปล่อยวางแบบฤๅษีชีไพร เห็นไหม เวลาฤๅษีชีไพรเขาทำของเขาอย่างนั้น เขาทำฌานสมาบัติของเขาอย่างนั้น แต่เวลาทำสมาธิขึ้นมานี่มันปล่อยวางมาได้ขนาดนั้น ถ้ามันปล่อยวางได้ขนาดนั้น ถ้ามันออกมาอุปจารสมาธิ มันเกิดใช้ปัญญาของมัน การปัญญาของมัน เห็นไหม

คนทำงานทางโลก คนทางโลกเขาต้องทำงานของเขา ประสบความสำเร็จของเขา ทำงานทางโลก เขาต้องมีอำนาจวาสนา เขาต้องมีหมู่คณะ เขาต้องมีตลาด เขาต้องมีต่างๆ เขาถึงจะประสบความสำเร็จของเขา เห็นไหม นี่งานทางโลก

งานทางธรรม งานทางธรรมไง เราจะเอาธรรมคุณงามความดีของเราไง ให้ทำเอาไง ให้ทำเอาคือความมุมานะของเรา ความตั้งสติของเรา ให้เราตั้งใจของเรา ถ้าเราตั้งใจของเรานะ เราจะพาเราเองหลีกเร้นไง หลีกเร้น หลีกจากหมู่คณะ หลีกจากการคลุกคลี หลีกไปเพื่ออะไร เพื่อเร่งความเพียรของเรา ถ้าเร่งความเพียรของเรานะ ถ้าเราไปอยู่ในทางจงกรมนั่งสมาธิภาวนาของเรา ถ้ามันไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ ไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ เห็นไหม ดูสิเวลาเป็นพระนี่เรามีข้อวัตรเป็นเครื่องอยู่ วันๆ หนึ่งมันมีข้อวัตรเป็นที่พึ่งที่อาศัย จิตใจให้มันอยู่กับข้อวัตร

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราไปนั่งสมาธิภาวนา เราไปเดินจงกรมของเรานี่ มันต้องมีเครื่องอยู่ของมัน คำบริกรรมๆ นี่เป็นเครื่องอยู่ไง เป็นเครื่องอยู่ จิตมันเกาะคำบริกรรมไว้ พุทโธไว้ ปัญญาอบรมสมาธิไว้ เวลามันคิดของมัน คิดฟุ่งซ่านออกไปของมัน มีสติปัญญารักษามันไว้ ถ้ารักษามันไว้นี่มันจะทำภาวนาต่อเนื่องกันไปได้ไง นี่จะเป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นครึ่งวันค่อนวัน นี่มันทำได้ทั้งนั้น คนที่จะอยู่ในทางจงกรม เดินจงกรมได้เป็นวันๆ หลายๆ วันติดต่อกันต่อเนื่องกันไปแสดงว่าจิตใจเขามีงานทำ

เห็นไหม ทำเอา ทำเอา ทำคุณงามความดีไง ทำเอาไง ทำเอามันมีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ จิตใจมันมีงานทำมันไม่ว้าเหว่ มันไม่ตรึงเครียด มันไม่วิตกกังวล แต่ถ้าเราทำของเรานะ เราเดินจงกรมนั่งสมาธิของเราด้วยความกดไว้ ด้วยการข่มไว้ เห็นไหม มันข่มไว้ พอข่มไว้นะ มันอึดอัดขัดข้องไปหมด อึดอัดขัดข้องขนาดไหนเราก็ต้องมีสติ มีสติพยายามยับยั้งกับมัน สู้กับมันไง

นี่ทำเอา ทำเอา ทำคุณงามความดี ถ้าเราทำสิ่งใดก็ได้อย่างนั้น นี่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เวลาปฏิบัติของเรา ถ้าเราทำปฏิบัติของเราถูกต้อง สัมมาสมาธิ เห็นไหม สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้อง ความดีงามถูกต้องทำต่างๆ ผลของมันต้องเกิดขึ้นกับเรา ถ้าผลเกิดขึ้นกับเราใครเป็นคนทำล่ะ จิตเป็นคนทำ

งานทางโลกเขาใช้มือของเขา การบริหารเขาใช้สมองของเขา แต่เวลาเราทำของเรา เราใช้จิตของเราทำนะ จิตของเรา เห็นไหม ดูสิ เวลาจิตของเรามันมีอวิชชา มันไม่มีสติปัญญาครอบคลุมมัน มันส่งออกไง ความรู้สึกนึกคิด การบริหารจัดการนี่มันส่งออกมาจากจิตทั้งนั้น ส่งออกมันเสวยอารมณ์ เสวยอารมณ์มันก็เป็นสัญญาอารมณ์ต่างๆ ที่ออกมา ธรรมชาติของมนุษย์สัญชาตญาณของมนุษย์เป็นอย่างนี้ ถ้าสัญชาตญาณมันเป็นอย่างนี้ปั๊บ เวลามันมีสติปัญญามันทวนกระแสย้อนกลับหมด การย้อนกลับนี่งานอย่างนี้มันละเอียดนะ

ดูสิโลกเขาบริหารจัดการขนาดไหน เขาว่าเป็นงานของเขา เป็นทุกข์เป็นยากของเขา ทุกคนบอกความคิดนี้มหัศจรรย์มาก จิตนี้เร็วมาก ก็ว่ากันไปไง แต่ถ้าผู้ปฏิบัติเขารู้เขาเห็นของเขา สติ สมาธิ มหาสติ มหาสมาธิ นี่มหาสติ มหาปัญญา เวลามันเป็นอัตโนมัติขึ้นไปมันจะรู้ว่าเร็วขนาดไหน สิ่งที่ว่าหัวใจที่มันรวดเร็วต่างๆ ทุกคนพยายามจำนนกับมัน เห็นไหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่อยู่ทางโลกเขายอมจำนนกับความคิดของตัวเอง ว่าเอาไม่อยู่ๆ เอาไม่ได้ต่างๆ นี่เขาคิดของเขาไป นี่บารมีอ่อนแอ นี่จิตใจไม่เข้มแข็งพอ ถ้าจิตเข้มแข็งพอนะ ก็อยู่กับเรา เห็นไหม

หลวงตาท่านบอกว่า “ภูเขาจะสูงขนาดไหน ถ้าเราขึ้นถึงยอดเขานั้น ความสูงขนาดไหนมันอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเรา” ภูเขาจะสูงขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้าเราปีนขึ้นไปอยู่บนยอดภูเขานั้น มันจะสูงขนาดไหนมันก็อยู่ใต้ฝ่าเท้าเรา เพราะเราอยู่ยอดภูเขานั้น จิตใจที่มันเร็วขนาดไหน ความรู้สึกนึกคิดมันเร็วขนาดไหน ถ้าเรามีสติมีปัญญาทำไมเราจะทำไม่ได้ ถ้าทำไม่ได้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาได้อย่างไร แล้วครูบาอาจารย์เราประพฤติปฏิบัติมาประพฤติปฏิบัติมาได้อย่างไร นั้นครูบาอาจารย์เราถึงบอกธรรมะอยู่ฟากตาย ธรรมะอยู่ฟากตาย มันเป็นคำพูดของครูบาอาจารย์ของเรา นี่พอคำพูดของครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ทางโลกเขาก็เสียดสีไง ทำไมต้องทำรุนแรงขนาดนั้น มันต้องลงทุนลงแรงขนาดนั้น

นี่มันมีพระน่ะ เวลาบอกว่าหลวงปู่มั่นทำอย่างนั้น เขาพูดเลย ทำไมต้องทำขนาดนั้น แสดงว่าเขาไม่เป็นไง ถ้าคนภาวนาไม่เป็นเห็นการกระทำของพระปฏิบัติ เห็นการกระทำของครูบาอาจารย์ของเรา เขาจะรับไม่ได้หรอก เขารับไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่าเขาอยู่กับกระแสโลกไง เขาอยู่กับความเป็นไปของโลกใช่ไหม

เดี๋ยวนี้โลกเขามีบริหารจัดการใช่ไหม ใครทำไมต้องลงทุนลงแรง เราจะขุดดิน เราจะทำของหนัก เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง เขาใช้เครน เขาใช้รถขุด เดี๋ยวนี้เขาพัฒนาไปแล้วไม่ต้องใช้คนขุด เป็นไปไม่ได้ที่จะต้องลงทุนลงแรงขนาดนั้น นี่ถ้าคนลงทุนลงแรงแสดงว่าไม่มีปัญญา ไม่รู้จักใช้สอยเทคโนโลยี สมัยนี้มันเจริญ เทคโนโลยีก็อำนวยความสะดวกกับชีวิต นี่คุณภาพชีวิต คุณภาพชีวิต

แต่คุณภาพกิเลสล่ะ กิเลสมันยิ่งพองตัวใหญ่ๆ นะ ยิ่งส่งเสริมเท่าไร กิเลสมันจรดฟ้าเลย แต่ถ้าเราจะฝืนทนนะ เราจะฝืนกับใจของเรา ฝืนกิเลสนะ ฝืนกับความสุขความสบายของเราเท่ากับฝืนกิเลส กิเลสมันอยู่กับเรา กิเลสเป็นเรา ขันธ์เป็นเรา ทุกข์เป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเราหมดล่ะ มันเป็นเรา ถ้ามันเป็นเราแล้วนี่มันก็อ้างอิง เห็นไหม อ้างอิงธรรมะ แล้วมันก็บอกว่าอย่างนั้นสะดวกสบาย สะดวกสบาย

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราทำ เวลาเราทำกันจริงๆ จังๆ ขึ้นมานี่ เขาบอกทำไมต้องทำขนาดนั้น ถ้าใครบอกว่าต้องทำขนาดนั้นแสดงว่าภาวนาไม่เป็น แสดงว่าไม่เคยภาวนา ถ้าภาวนามันก็ตรรกะเท่านั้นล่ะ จะคิดเอาจินตนาการเอา มันก็การศึกษา มันปริยัติไง ปริยัติเขาทำกันแบบนั้น ปริยัตเขาทำแบบนั้นมันก็สาธุนะ วัดบ้านเขาทำแบบนั้น เพราะเข้าพรรษานี้เขาก็เข้าพรรษาเหมือนกัน เขาต้องเรียนเหมือนกัน เรียนเสร็จแล้วก่อนออกพรรษาเขาต้องสอบเหมือนกัน สอบธรรมสนามหลวง สอบธรรมบาลีของเขา เพื่อเอาใบประกาศของเขา ประกาศว่าเขามีความรู้ของเขา

หลวงตาท่านบอก ท่านเรียนจบมหานะ ยิ่งจบมหาเท่าไร กิเลสมันยิ่งพองเข้าไปใหญ่ มันยิ่งใหญ่โต มันบอกมันเป็นความรู้ระดับมหานะ ความรู้ระดับ ๙ ประโยคนะ ความรู้ยิ่งใหญ่นะ นี่เวลาพูดไปแล้วมันขัดแย้งกับทางโลก ทางโลกเขาบอกว่านี่โลกเจริญแล้วต้องการศึกษาๆ ใช่! มีการศึกษา โลกเราเจริญด้วยการศึกษาด้วยปัญญาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นปัญญานี้ปัญญาโลกๆ ไง ถ้าปัญญาโลกๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ศึกษา ศึกษาก็เป็นปริยัติไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มันต้องปฏิบัติ ปฏิบัติขัดเกลามัน ศึกษามาแล้ว ศึกษามาทางวิชาการแล้วเราก็ต้องฝึกหัดของเราขึ้นมาให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา แล้วของเราเราเป็นพระป่า พระป่าเพราะเราฝึกตามครูบาอาจารย์ของเรามา ท่านบอกว่าถ้าใครจะเรียน ใครจะศึกษา ท่านจะส่งไปสำนักเรียน ถ้าใครจะปฏิบัติขึ้นมาก็ปฏิบัติตามครูบาอาจารย์เพราะปัจจุบันนี้มีครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านคอยชี้นำของเรามา ถ้าอนาคตที่อยากจะมาปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านก็ล่วงไปแล้วนี่ เราปฏิบัติ แล้วเราก็ต้องค้นคว้าของเราขึ้นมา

ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เขาเรียกว่ามีปัญญาไปกันหมดเลย ปฏิบัติไปก็ล้มลุกคลุกคลานไปหมด ทำสมาธิก็สมาธิวาดภาพกันไป นี่เวลาอวิชชาก็ว่าเป็นยักษ์เป็นมารไปเลย แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกไปเจออวิชชา เห็นไหม มันสวยยิ่งกว่านางสาวจักรวาล มันอ้อยสร้อยอ้อยอิ่งอยู่กลางหัวใจของเรา ถ้าเป็นยักษ์เป็นมารเราจะเพลิดเพลินไปกับมันไหม ถ้ามันเป็นยักษ์เป็นมาร มันเป็นโทษกับเรานี่ มันจะเป็นยักษ์เป็นมารต่อเมื่อมันผ่านไปแล้วไง เวลามันผ่านไปแล้วนะ เวลาเรามีความต้องการสิ่งใด เรามีตัณหาทะยานอยากนี่ล้นฝั่ง ล้นฝั่งขนาดไหนพอทำประสบความสำเร็จไปแล้วนะ เอ่อ ไม่น่าทำเลย น่าเบื่อเลย นี่มันจะเป็นยักษ์ต่อเมื่อมันเสวย มันเต็มที่ไปแล้ว

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ถ้ามันต้องต่อสู้ตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่เริ่มต้นนี่มันยังไม่เป็นยักษ์เป็นมาร มันยังไม่มีตัวตนของมัน มันต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้วนี่กลับไปหามัน กลับไปหามัน จับตัวจับต้องตัวมันได้ ถ้าจับต้องตัวมันได้มันพิจารณามันได้ มันแยกแยะได้ มันจะเป็นปัญญาของมันขึ้นมา ถ้าปัญญาอย่างนี้ปัญญาในพุทธศาสนา ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่ต่อสู้กับกิเลส ทำเอา ทำมาทั้งนั้น ใครทำมา ใครทำใครได้ ใครทำใครมีความตั้งใจ คนนั้นจะได้อย่างนั้น

ถ้าใครจะศึกษามาจะเอายศเอาตำแหน่ง เอายศศักดิ์กัน มันก็ศึกษากันไป แต่ถ้าใครจะพ้นจากทุกข์ ใครจะชำระล้างกิเลสมันก็ต้องต่อสู้มา บอกว่าพระป่าๆ ไม่มีการศึกษา พระป่าไม่เห็นความสำคัญของการศึกษา ทำไมจะไม่เห็นความสำคัญของการศึกษา ถ้าไม่เห็นความสำคัญของการศึกษาเราจะมาฝึกหัดสติกันทำไม เราจะต้องมาฝึกหัดตัดเย็บกันทำไม เราจะต้องมาฝึกหัดข้อวัตรกันทำไม แล้วฝึกหัดไว้นี่ นี่มันคืออะไรล่ะ นี่มันคือเนื้อแท้ของธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยให้เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงไง ถ้าตามเป็นจริงขึ้นมาเราก็ทำของเราตามความเป็นจริงนี่ ดำรงชีวิตไว้อยู่ในศีลในธรรมนี้ไง

ถ้าอยู่ในศีลธรรมนี่ เวลาเราศึกษามาศึกษามาจากอุปัชฌาย์อาจารย์ อุปัชฌาย์อาจารย์เวลาบวชขึ้นมา เห็นไหม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ให้กรรมฐานมาแล้วนุโลมอนุโลมขึ้นมา ย้อนหน้าย้อนหลังขึ้นมานี่ปฏิบัติใช้ได้ ถ้ามันผ่าน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เวลาเขาทำหน้าที่การงานกัน เขาก็ทำหน้าที่ตามวิชาชีพของเขา แต่เวลาเราจะทำงานในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ

เวลาปฏิสนธิจิตเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เกิดมามีอะไร มันก็มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ถ้ามีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ร่างกายนี้มันก็มีจิตใจเกิดมา ถ้าจิตใจเกิดมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ถ้ามันเกิดวิบากกรรมขึ้นมา มันก็ตายตั้งแต่ในครรภ์ เวลามันเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา มันมีอาหารของมัน มีอาหารเลี้ยงชีวิตนี้มา ถ้าชีวิตนี้มาด้วยเวรด้วยกรรม เห็นไหม

ดูสิคนที่เกิดมาสว่าง มันก็เห็นดีเห็นงามไปหมด เห็นไหม เกิดสว่าง ไปสว่าง มันก็ทำคุณงามความดีไป เกิดมาสว่าง เกิดมาร่มเย็นเป็นสุข ทำแต่บาปแต่กรรม เห็นไหม เกิดมาสว่างก็มืดไป ถ้ามืดไป เห็นไหม ดูสิเราเกิดมาสว่าง เห็นไหม ก็มืดๆ เทาๆ อยู่อย่างนี้ เราทำไม่จริงไม่จังของเรา มันก็เป็นอำนาจวาสนาเราทั้งนั้น นี่ทำเอาๆ ทั้งนั้นน่ะ เราต้องทำเอา เราเป็นคนทำเอง ทำเอาคือเราเป็นคนกระทำ เราไปทำดีไปทำชั่วมา จะโทษใครไม่ได้หรอก

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็วางธรรมวินัยนี่รื้อสัตว์ขนสัตว์ เพราะจิตมันเวียนตายเวียนเกิดตามวัฏฏะตามอำนาจวาสนาของเขา นี่ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้ามีโอกาสก็จะไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ไป จะไปช้อนเอา

แต่ของเรา เราเกิดมา เห็นไหม เราทำของเราขึ้นมา เราบวชแล้วเรามีโอกาสแล้ว เราบวชมาเป็นพระแล้ว เป็นพระ เห็นไหม ๓ เดือนนี้จะเข้าพรรษาพรุ่งนี้ พรุ่งนี้จะเริ่มธุดงค์แล้ว ถ้าธุดงค์แล้วนี่ เห็นไหม ปกติเราก็อยู่โดยความปกติของเรา เวลาเข้าพรรษาแล้วถือธุดงค์ คำว่า “ถือธุดงค์”หมายความว่าเตือนตัวเองไง เตือนตัวเองนี่ธุดงควัตร เครื่องขัดเกลากิเลส โดยปกติเราก็อยู่โดยปกติ ดูสิ ภัตราหารเขาเอามาถวายทาน เราก็ได้รับของเขา เราก็ได้พิจารณาของเขา ต่อไปนี้เราจะบิณฑบาตมาด้วยปลีแข้ง นี่ด้วยอำนาจวาสนาของเรา ด้วยความตกบาตรของเรา ถ้าตกบาตรของเรานี่มันเตือน มันเตือน นี่มีมืดมีสว่าง

นี่ก็เหมือนกัน มีปกติ มีการเร่งรัด เห็นไหม มีภาคปกติ เราก็อยู่ปกติมาแล้วนี่ ในพรรษาขึ้นมาแล้วมันก็จะขันน็อตขึ้นมาแล้ว ขันน็อตขึ้นมาให้มันเข้มแข็งขึ้น ให้มันดีขึ้นนี่ มันเตือนมา ชีวิตเราต้องเปลี่ยนแปลงสิ ถ้าชีวิตเราเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงมันทำไปมันไม่คุ้นชินกับมันไง ถ้าเราไปคุ้นชินกับมัน กิเลสมันครอบงำ

วันคืนล่วงไปๆ เห็นไหม เราทำอะไรอยู่ แล้วมันก็เศร้า มันก็เหงา มันก็หงอย แล้วก็นอนจมกับมัน ให้กิเลสมันกระทืบเอา แต่เวลาจะสู้กับมันไม่มีอะไรจะสู้กับมัน แล้วกิเลสมันอยู่ไหนล่ะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอนก็ไปโทษท่าน นี่ครูบาอาจารย์ท่านลำเอียง ครูบาอาจารย์ท่านพูดอะไรออกมาท่านไม่ไว้หน้าเราเลย นี่แล้วเวลากิเลสมันกระทืบนี่ไว้หน้าไหม? กิเลสมันกระทืบ เห็นไหม มันไม่ไว้หน้าให้เลย ถ้าเวลากิเลสมันกระทืบเอานี่ชอบใจมันอีกนะ เพราะเราทำเองไง นี่สะใจ อย่างนี้ถูกต้อง

แต่เวลาเราจะฝืนทนกับมัน นี่ไง เราจะทวนกระแสกลับไป ถ้าทวนกระแสกลับไปมันต้องมีสติยับยั้งมันสิ ถ้าสติยับยั้งอย่างไร นี่คนอื่นเขามองความผิดพลาดของเราได้นะ เขาเตือนเขาบอกเราได้ แต่ความผิดพลาดของเรา เราไม่เคยยอมรับความผิดพลาดของเราเลย แล้วถ้าไม่ยอมรับไม่ยอมรับเปล่าๆ นะ ไม่ยอมรับแล้วมันยังมีทิฏฐิด้วยว่าความผิดพลาดของมันเป็นความถูกต้อง คนที่เขาทำคุณงามความดีกันอยู่นั้นเขาทำกันเพื่อเอาหน้า คนที่เขาทำคุณงามความดีกันนั้นเขาทำเพื่อผลประโยชน์ของเขา นี่ยังไปติเตียนเขาอีก มันไม่ได้คิดถึงตัวมันเลย ไม่ได้มองถึงตัวมันเลย นี้มันทำอะไรล่ะ นี่ก็กว้านกิเลสมันไง

กิเลสมันก็เป็นกิเลส มันเข้ากันได้ มันไม่เข้ากับธรรมหรอก แต่ถ้าเข้ากับธรรม ธรรมมันคืออะไรล่ะ นี่ธรรมมันคือะไร? ธรรมมันคือศีล สมาธิ ปัญญา ศีลความปกติของใจ โดยธรรมชาติของมัน มันปกติของมัน แต่ที่มันไม่ปกติเพราะมันตัณหาความทะยานอยากมันขับดัน ตัณหาทะยานอยากมันขับดัน เห็นไหม คนไม่เคยอด ไม่เคยทุกข์ ไม่เคยยาก นี่ถ้ามันอดมันก็อยาก มันทุกข์มันก็ยาก เวลามันอดยาก เห็นไหม

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านถึงไม่อยู่เฉย เห็นไหม นี่เข้าป่าเข้าเขาไปให้มันอดให้มันอยาก ไปอยู่ที่มันอดมันอัตคัดขาดแคลนซะ เวลามันภาวนาไม่ได้ ภาวนาไม่ได้นี่เนสัชชิกเลย ไม่นอน สู้กับมัน สู้กับมัน เวลาสู้กับมันนะมันก็ทรมาน ก็ทรมานแน่นอนอยู่แล้ว นี่ในเมื่อเราเข้าไปเผชิญหน้ากับกิเลส

ดูสิเราเป็นแผล เห็นไหม จะล้างแผล ล้างแผลนี่เราเปิดปากแผลมานี่เราต้องทำความสะอาดมัน เลือดซิบๆ เลย เนื้อมันร้ายที่ไหน เราต้องเช็ด ต้องขัด เราต้องตัดมันออก ต้องขุดมันออก ถ้าเนื้อมันตายเนื้อมันร้ายต้องทำมันออก นี่เหมือนกัน เวลามันภาวนาแล้วมันทำไม่ได้ ไม่ได้เพราะอะไร ไม่ได้เพราะกิเลสมันกระทืบเอา กิเลสมันเหยียบย่ำเอา ถ้ากิเลสมันเหยียบย่ำเราจะเอาอะไรไปสู้กับมัน เรามีอะไรไปสู้กับมัน เราไม่มีอะไรไปสู้กับมันเลย

นี่เรายืมมา ยืมธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เวลาฝึกหัดสติๆ มันยังไม่มีตัวตนขึ้นมาก็ยืมชื่อมาก่อน สติคือยับยั้งไว้ มีสติ ถ้าสติยับยั้งไว้ บริกรรมไว้ เห็นไหม นี่มันจะทรมาน มันจะทุกข์มันจะยากขนาดไหน เราจะล้างบาดแผลของเรา นี่เลือดซิบๆ เลยน่ะ เจ็บ แสบ สิ่งที่มันติดอยู่ เราจะแกะมันให้ได้ ถ้ามันแกะได้แล้วเราฝืนทำกับมัน

นี่ทำเอา ทำเอาเพราะมันมีกำลังใจ มันมีกำลังที่จะทำ ถ้าไม่ทำ นี่มันอ้างไง ทำไม่ได้ อัตตกิลมถานุโยค ดูสิพระในปัจจุบันนี้เขามีแต่ความสุขความสงบกันทั้งนั้นล่ะ เขาอยู่กันสุขสบายทั้งหมด ทำไมเราต้องมาทุกข์มายาก เรามาทุกข์มายากเราวัดใจของเราไง แล้วเรามาทุกข์มายากก็จะมาเปิดแผลเราไง เปิดแผลหัวใจของเรา ถ้าเรามีบาดแผล เราไม่ล้างแผล เราไม่ชำระแผลของเรา แผลเรามันจะหายได้อย่างไร ของเขานี่แผลเต็มอย่างนั้น แล้วเขาปกปิดกันไว้ แล้วอยู่กันสุขสบายอยู่อย่างนั้น แล้วอยู่อย่างนั้นแล้วมันเป็นอย่างไรล่ะ มันก็ดินพอกหางหมูนั่นไง แผลมันก็จะเน่าเฟะอยู่อย่างนั้นไง แต่ของเราเราจะทำของเรา ถ้ามันจะทุกข์มันจะยาก ทุกข์ยากก็เป็นแบบนี้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้มา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ผ่านวิกฤติของท่านมาแล้ว ๖ ปีนี่มันทุกข์ยากขนาดไหน อดอาหารคิดว่ากิเลสมันอยู่กับเราๆ อดอาหารเลย อดอาหารโดยที่ยังไม่มีใครสอนก็อดอาหารเฉยๆ ไง แต่ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว เห็นไหม ห้ามพระอดอาหาร แต่! แต่ถ้าใครอดหารว่าเป็นวิธีการเพื่อจะต่อสู้กับกิเลส ตถาคตอนุญาต เพราะว่าถ้ามันไม่มีปัญญา มันก็อดเฉยๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังอดเฉยๆ มาแล้ว อดมาเฉยๆ อดโดยที่ไม่ได้ใช้ปัญญา

แต่ในปัจจุบันนี้เราไม่ได้อดเฉยๆ เรารู้อยู่ว่ามรรคมันเป็นนามธรรม มรรค สติชอบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ การงานชอบ มันชอบธรรมอยู่อย่างนั้น นี่มันเป็นมรรค แต่การอดอาหารมันเป็นเรื่องการต่อสู้ เรื่องร่างกายมันต้องการอาหาร แต่เพราะอาหารมันทำให้ธาตุเข้มแข็ง ทำให้ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันทับจิตๆ เพราะจิตมันอ่อนแอเกินไป จิตไม่มีกำลังเกินไป นี่ความรู้สึกนึกคิดมันโดนตัณหาทะยานอยากมันพยุงไว้ มันถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูไว้ กิเลสมันหลอกไว้ กิเลสมันสร้างภาพไว้ แล้วสุดท้ายมันก็กลับมาทืบหัวใจของเรา

แต่นี้ถ้าเราจะต่อสู้กับมัน เห็นไหม ถ้าเราต่อสู้กับมัน เราก็ฝืนทนเอา อดนอนผ่อนอาหารมันหิวไหม? หิว ในเมื่อคนอดอาหารไม่หิวนี่เอาที่ไหนมาพูด คนอดนอนมันไม่ง่วงนอนก็เอาที่ไหนมาพูด มันก็ต้องง่วงนอนเป็นธรรมดา แต่เพราะความง่วงนอนความหิวโหยอย่างนั้น ถ้ามันพิจารณาของมันไป มันมีเหตุมีผลของมันไป นี่เวลาพิจารณามันเห็นนะ เวลาอดอาหาร เห็นไหม เวลามันหิวขึ้นมา กระเพาะหิวหรือ ลำไส้หิวหรือ ปากหิวหรือ อะไรมันหิว ถ้าปัญญามันทันนะ ถ้าไม่ทันนี่เป็นสัญญา สัญญานี่กิเลสมันรู้ทัน โอ๊ย คิดอย่างนี้คิดมากี่รอบแล้ว คิดอย่างนี้ครูบาอาจารย์ก็คิดมาแล้ว

เวลาสมัยครูบาอาจารย์ท่านคิดมาแล้ว ใช้ปัญญามาแล้ว เราไม่ทันนี่ ท่านก็หลุดมือเราไป คราวนี้ไอ้ลูกศิษย์ลูกหา ไอ้สติอ่อนแอพวกนี้มันจะหัดคิด เราก็ปล่อยสายป่านไป ตามไป หิวหรือ ไม่หิว หิวไม่หิว สักพักหนึ่งนะ ประเดี๋ยวพอสติเรามันอ่อนแอนะ มันพลิกกลับมาเลย สิ่งที่คิดนี่มันไร้สาระ คิดมาแล้วมันก็ไม่ได้ผล คิดแล้วมันก็ทุกข์ใจ ล้มไปเลย

นี่เพราะอะไร เพราะความอ่อนแอไง แต่ถ้าความจริงขึ้นมานี่ หิวหรือไม่หิวนี่สติปัญญาไล่กันไป ไล่กันไป ถ้าสติปัญญามันทันมันปล่อยได้ ความหิวความกระหายจบหมด ขณะที่นั่งอยู่อดอาหารนะ มันหิวมันกระหายมากนะ หิวกระหายเราก็พุทโธไป ใช้ปัญญาไล่ไป ถ้ามันลงได้นะ หายหมดเลย ว่างหมดเลย อ้าว แล้วความหิวไปไหนล่ะ ไอ้หิวไปไหนอ่ะ หิวมันไม่มี นี่รสของธรรม

เวลามันทำ ทำเอาๆ นี่ทำอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี่พอทำอย่างนี้ปั๊บ พอมันปล่อยวาง อื่อ! มันก็จริงน่ะ เวลาหิวๆ อยู่น่ะ ด้วยปัญญาไล่ไปนี่อะไรหิว เพราะหัวใจน่ะจิตมันมีสติปัญญาควบคุม แล้วพอสติปัญญาควบคุมสติปัญญาหว่านล้อมมา จนสติปัญญานี่ใช้ปัญญาจนจิตมันปล่อยวาง ถ้าจิตมันปล่อยวางนี่ มันปล่อยวางความรู้สึกในกระเพาะ ในลำไส้ ในปาก ในธาตุในขันธ์ พอจิตมันปล่อยวางมานี่ จิตมันเป็นเอกเทศ ร่างกายมันก็เป็นร่างกาย จิตมันก็เป็นจิต มันก็วาง

ถ้ามีสติปัญญานี่ทำเอา ทำได้ นี่หิว หิวก็เหมือนกัน ง่วงนอนก็เหมือนกัน ถ้าง่วงนอนๆ มันไม่ทัน ง่วงนอนนี่เวลามันง่วงนอนขนาดไหนมันสัปหงกโงกง่วงเลย ถ้าสติมันขาดมันล้มเลย แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ เราไล่ทัน ล้มไปแล้วให้แล้วกันไป ถ้าถึงที่สุดแล้วพอมาภาวนานี่มันก็ปล่อยได้เหมือนกัน สิ่งนี้มันเป็นอาวุธ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอดอาหารมา ๔๙ วัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอดอาหารมาด้วยการอดอาหาร อดอาหารขึ้นมาแล้ว นี่อดอาหารจนสลบไปถึง ๓ หน กลั้นลมหายใจสลบไปถึง ๓ หนทั้งอดอาหารด้วย สุดท้ายแล้วมาฉันอาหารของนางสุดชาดา แล้วมาใช้ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ฉันอาหารของนางสุชาดา แล้วกลับมาอานาปานสติมันมาจากไหน มันก็มาจากอดอาหาร สิ่งนั้นมันเป็นกำลังมา มันเป็นพื้นฐานมา มันมีพื้นฐานมาแต่ยังทำไม่ถูกต้องๆ

แต่ขณะที่มาฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วกำหนดอานาปานสติ มันสะสมขึ้นมา มันมีกำลังของมันขึ้นมา เวลาย้อนกลับไป เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ทำลายไป ทำลายด้วยมรรคจากภายใน ถ้ามรรคมันทำขึ้นมา นี่สิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำมาแล้ว สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำมาแล้ว แต่พวกเรามาประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านทำของท่านมา ท่านก็หายสงสัย แต่ไอ้เรานี่กิเลสมันเต็มหัว กิเลสมันครอบงำอยู่นี่ เราจะทำของเราขึ้นมามันก็ล้มลุกคลุกคลาน แล้วก็สงสัย สงสัย เราแล้วก็มองไปสังคมโลก เพราะอะไร

เพราะเวลาเราสงสัยแล้ว เราไม่มองเข้าไปสู่ธรรม ไม่มองเข้าไปสู่ครูบาอาจารย์ของเรา เรามองไปทางโลกไง พระที่ไหนเขาก็มีความสุขความสบายกันทั้งนั้น พระที่ไหนเขาก็ทำของเขาแล้วเขาก็มีศักยภาพของเขา เขามีชื่อเสียงกิตติศักดิ์กิตติคุณของเขา ไอ้ชื่อเสียงกิตติศัพท์เกียรติคุณมันมาจากไหน? มันมาจากการตลาดทั้งนั้นน่ะ ตัวเองก็ทุกข์ ตัวเองก็สงสัย ในเมื่อตัวเองสงสัยนะ ศักยภาพมันมาจากไหน? แล้วถ้าศักยภาพมันมา มันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันทำลายเกียรติในหัวใจขึ้นมาแล้วนี่ ครูบาอาจารย์องค์นั้นท่านผ่องแผ้วก่อน

ถ้าผ่องแผ้วแล้วดูสิ ดูหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นสิ ท่านเคยออกมาคลุกคลีกับใคร ท่านอยู่ป่าอยู่เขามาตลอด ครูบาอาจารย์ของเราท่านอยู่ในป่าอยู่เขาทั้งนั้น นี่กิตติศัพท์เกียรติคุณของท่านมันขจรขจายไปด้วยคุณงามความดี ด้วยปากต่อปาก แต่คุณงามความดีในใจอันนั้นมันสำคัญกว่า เห็นไหม นี่ท่านทำของท่านมาอย่างนั้นนะ ครูบาอาจารย์เราท่านมีหลักมีเกณฑ์มานะ

แล้วเรานี่เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ เราจะกำขี้หรือจะกำธรรมล่ะ ถ้ากำขี้ก็กำแบบนั้น ไอ้ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง กำขี้ก็ได้ขี้ไง ถ้ากำธรรมมันก็จะได้ธรรม ทำเอา ทำเอานะ ทำจริง ถ้าใครทำความจริงแล้วมันเป็นความจริงขึ้นมา มันจะเป็นสมบัติของใจดวงนี้ นี่ไม่ต้องไปกีดกันใคร ไม่ต้องไปจับจองที่ของใคร ไม่มีใครจองที่ของใคร ไม่มีใครจับจองใครได้ ทำมาในหัวใจของเรา ใครจะมีศักยภาพขนาดไหน ครูบาอาจารย์องค์ไหนท่านจะมีชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณของท่าน นี่สาธุ ตามสไตล์ของท่าน ในใจของเราเรามีความทุกข์ ความทุกข์ในใจของเรานี่ เราจะพยายามปฏิบัติของเรา เราจะเอาจริงของเรา เราจะทำของเรา สมบัติของครูบาอาจารย์ สาธุ ก็เป็นสมบัติของครูบาอาจารย์ไป สมบัติของเรา เราต้องการสมบัติของเรา เพราะมันทุกข์มันทุกข์อยู่กลางหัวใจนี้ เวลามันทุกข์เราทุกข์เอง ไม่มีใครมาทุกข์กับเราเลย เวลาตกทุกข์ได้ยากก็ตกทุกข์ได้ยากด้วยความทุกข์ยากของเรา เราจะทำความจริงของเรา ทำเอาๆ นะ ตั้งใจทำ ตั้งใจแล้วทำให้ได้ ถ้าตั้งใจทำให้ได้นี่มันเป็นสมบัติของเรา นี่พิสูจน์ขึ้นมา

เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติแล้วไปรายงานครูบาอาจารย์ เห็นไหม เวลาพูดมาครูบาอาจารย์ท่านมีความพอใจทั้งนั้นน่ะ เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นตัวศาสนา สัจธรรม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติธรรมมีดวงตาเห็นธรรม เห็นไหม ธรรมอันเดียวกัน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราก็ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อจะให้เป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจ ถ้ามีความจริงขึ้นมามันเป็นธรรมของเรานะ

ถ้าเป็นธรรมของเรา เราต้องมีความมุมานะ ใครจะพูดอย่างไร จะว่าอย่างไร มันเรื่องของเขา แต่ในเมื่อจิตใจของเรา เรารู้ของเรา เรารู้ของเราว่าเรามีเจตนาอย่างไร ก่อนที่เราจะมาบวชเรามีเจตนาอะไร เจตนาของเรา เราเจตนาเพื่อจะปฏิบัติธรรม การปฏิบัติ เห็นไหม เราจะหาสำนักอย่างไรที่จะให้มีโอกาสได้ปฏิบัติ ถ้าสำนักมันก็ได้ชื่อว่าสำนักปฏิบัติ แต่ในกิจกรรมมันปฏิบัติจริงหรือเปล่า นี่วันๆ หนึ่งก็คลุกคลีกันอยู่อย่างนั้นน่ะ มันจะเอาอะไรมาปฏิบัติ คนที่เขาปฏิบัติกิริยามันก็ฟ้องอยู่แล้วว่านักปฏิบัติจริงหรือเปล่า ถ้านักปฏิบัติจริงเขาหลีกเร้น

ดูสิ ดูสัตว์ป่า สัตว์ป่ามันไม่ให้ใครเห็นตัวมันนะ ถ้าใครเห็นตัวมันนะ มันเสียความลับเดี๋ยวมันจะตาย นี่ก็เหมือนกัน พระป่า พระป่าถ้ามันทำจริงมันจะทำจริง เราหลีกเร้นของเราสิ เราไม่ได้บวชมาเพื่อเอาเกียรติศักดิ์กิตติคุณจากใครทั้งสิ้น เราบวชมาเพื่อตัวเราเอง เราบวชมาเพื่อชำระกิเลสในใจของเรา แต่ในเมื่อสังคมมันเป็นแบบนี้ นี่มันเป็นโอกาสของคน

สมัยหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เห็นไหม ดูสิมันมีแต่ป่าแต่เขา ไปไหนรถราไม่มี เดินเอาทั้งนั้นล่ะ ถ้าเดินเอาทั้งนั้นจะไปไหนก็ต้องเดินเอา ไม่มี ไม่มีรถราสะดวกสบายขนาดนี้ แต่เดี๋ยวนี้รถรามันสะดวกสบาย ประเทศที่เจริญแล้ว เห็นไหม อยากจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เวลาปฏิบัติก็ปฏิบัติแบบนักพัฒนาแล้ว ปฏิบัติกันสะดวกสบาย นี่พัฒนาแล้วกิเลสมันก็พัฒนายิ่งไปกว่า ๒ – ๓ เท่า

สมัยครูบาอาจารย์นะไปไหนมันมีแต่ป่าแต่เขา คนนะเขาแสวงหามา เขาก็แสวงหามาเพื่อดำรงชีวิตเท่านั้น เพราะว่าธุรกิจมันยังไม่เจริญรุ่งเรือง มันเป็นประเทศด้อยพัฒนา ไม่มีใครเขามาสนใจ แต่สังคมนะ สังคมพุทธ เห็นไหม เขาจะเจือจานกัน แล้วเขาจะประพฤติปฏิบัติ เขาอยู่กันด้วยความร่มเย็นเป็นสุขไง แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ทุนนิยมๆ ด้วยทุนไง ด้วยทุน ด้วยการแสวงหา ด้วยการธุรกิจ ด้วยการค้า ไอ้พระปฏิบัติมันก็เลยกลายเป็นพระธุรกิจไปเลย เวลาปฏิบัติขึ้นมานี่ซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ สมาธิก็ตั้งราคาได้ ปัญญานี่แลกเปลี่ยนกันได้เลยน่ะ จำใครมาก็ได้ ครูบาอาจารย์ท่านพูดมานี่ลอกเลียนมาหมดเลย มันกลายเป็นปฏิบัติธรรมทุนนิยมไปเลย ทำอย่างนั้นมันเป็นการทำที่หลอกตัวเอง มันไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเราหรอก ความลับไม่มีในโลก จิตใจของเรานี่รู้เอง ฉะนั้นเราจะทำของเรานี่ เราต้องทำความจริงของเรา ตามครูบาอาจารย์ของเรา

ในเมื่อเราเลือกบวชแล้ว เราเลือกบวชนะ เราเลือกมาอยู่ในสายกรรมฐาน ในสายของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น พระกรรมฐาน ถ้าเราเลือกบวชแล้ว เลือกทางที่เราจะปฏิบัติตามความเป็นจริงของเรา ถ้าเป็นความจริงของเรา เห็นไหม คุณค่าของมัน คุณค่าของมัน งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ สมาธิชอบ แล้วเวลามันเป็นธรรมมันเป็นความชอบธรรม

ถ้าเป็นสมาธิ มันก็เป็นสมาธิกับเรา สมาธิกับเราไม่มีราคา ใครจะมาซื้อมาขายจะตั้งราคาให้ไม่ได้ แต่ในความสุขของเรา เราได้มหาศาล แล้วเวลาเกิดปัญญาขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา ใครก็มาตีค่ากับเราไม่ได้ แต่ในใจของเราน่ะเรารู้ ถ้าเรารู้มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก แล้วสิ่งนั้นจะมีค่าไหมล่ะ เราจะมีค่าขนาดไหน ครูบาอาจารย์ท่านนะ บอกว่าให้แก้วแหวนเงินทองขนาดไหน กองขนาดไหน แลกกันแลกกับคุณธรรมอย่างนั้น ท่านไม่เอา ไม่มีทาง ท่านไม่สนใจอย่างนั้นเลย

ดูสิ ดูหลวงตาเรา เห็นไหม คนจนผู้ยิ่งใหญ่ หาเงินให้กับประเทศเป็นหลายๆ หมื่นล้าน ให้กับประเทศชาติ ให้กับสังคม นี่ไม่สนใจเลย ท่านพูดบ่อยมาก พูดถึงว่าถ้าท่านพูดถึงว่าทางโลกเราโง่ เราโง่มาก โง่มันเพราะไม่แสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองเลย แต่ถ้าพูดถึงทางธรรมยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่เพราะเสียสละไง ยิ่งใหญ่เพราะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของสังคมไง ยิ่งใหญ่เพราะว่าไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติส่วนตนไง มันเป็นสมบัติสาธารณะทั้งหมดไง

เราเกิดมาผลของวัฏฏะ เราก็เกิดเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แล้วเกิดเป็นมนุษย์ที่มีศักยภาพ แล้วได้เห็นโทษเห็นภัยในวัฏสงสาร ได้มาบวชเป็นภิกษุ ได้มาบวชเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร บวชมาเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ แล้วเราปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันมีคุณธรรมขึ้นมา เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เห็นไหม นี่มันมีศักยภาพ มันมีคุณงามความดีในหัวใจมหาศาล ถ้ามหาศาลขึ้นมาเราทำเพื่ออะไรล่ะ? เพราะอะไร เพราะถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ มันก็เวียนตายเวียนเกิดอย่างนั้น โลกก็เวียนตายเวียนเกิดกันอย่างนั้น มันไม่เห็นเป็นสิ่งมหัศจรรย์สิ่งใดเลย แล้วเราบวชมานี่ เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ เราจะบวชมาเพื่อให้พ้นวัฏฏะเป็นวิวัฏฏะ เราพ้นออกไปอย่างนั้น

ดูสิ สรรพสิ่งในโลกนี้เขามีค่ามีราคาทั้งนั้น แต่เวลาบวชปฏิบัติธรรมขึ้นมาแล้วนี่ ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมาแล้วมันจะเอาคุณค่าอะไรมาเทียบเคียงกับราคาล่ะ มันอริยทรัพย์ มันเหนือโลกเหนือสงสาร เหนือสรรพสิ่งทุกอย่าง ถ้าไม่เหนือเห็นไหม ทำไมเทวดา อินทร์ พรหม ต้องมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น เขาเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เขาอยู่เป็นทิพย์ เขามีความสุขของเขา ทำไมเขาต้องมาฟังเทศน์ล่ะ เพราะทิพย์อันนั้น มันเทียบกับธรรมไม่ได้ไง ทิพย์อันนั้นมันจะมาเทียบกับคุณธรรมไม่ได้เลย ความเป็นทิพย์ๆ มันเทียบกับคุณธรรมได้ไหม

ถ้ามันเทียบกับคุณธรรมไม่ได้แล้วเราล่ะ เราทำอะไรอยู่ ก็เราก็ยังหาอยู่นี่ไง เราแสวงหาอยู่นี้ เราหาคุณธรรมในหัวใจของเรานี้ เห็นไหม สิ่งที่สัมผัสธรรมได้คือหัวใจของเรา หัวใจของเรานี่ หัวใจที่ทุกข์ๆ ยากๆ นี่ ถ้าหัวใจของเราใครจะเมตตา ใครจะสงสาร ใครจะพิรี้พิไรกับเรา นี่เรื่องของเขา อย่าไปฟัง เวลาทุกข์อ่ะนะ เวลาเรานั่งอยู่ในกลดเราก็รู้อยู่แล้วว่าเวลามันเจ็บปวดมันเจ็บปวดขนาดไหน เวลาเจ็บอย่างนี้ ใครจะแบ่งเบาภาระเราได้บ้างล่ะ เวลาเราหัวหกก้นขวิดนี่ เวลากิเลสมันกระทืบเอานี่ใครมันจะช่วยเหลือเจือจานเราได้ล่ะ เราเองมันก็เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เราต้องทำของเราเองนี่ไง

ฉะนั้น ใครจะมีความเมตตา ใครจะสงสารขนาดไหน สาธุ นั้นน้ำใจของเขา แต่ของเราล่ะ ของเราล่ะ เราต้องสู้ของเราเอง เวลาทุกข์เราทุกข์ของเราเอง เกิดใครให้มาเกิดล่ะ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ นี่มันมีกรรมมันถึงมาเกิด เพราะมันมีกาล มันมีกรรม มันมีแรงขับไง แล้วปัจจุบันนี้ก็จะมาสะสางมาละล้างมันไง ถ้ามันละล้างชะล้างจนหมดแล้วเห็นไหม จบ ไม่เกิด ไม่เกิดแล้วมันเหลืออะไร ไม่เกิดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ ปีพูดอะไรอยู่ ถ้าไม่เกิดอะไรมันไม่เกิด ทำไมถึงไม่เกิด ทำไมถึงเกิด มันจบแล้วล่ะ เพราะมันจบของมันแล้วนี่ ถ้ามันเกิดหรือไม่เกิดมันถึงอธิบายได้ ถ้าจะเป็นครูบาอาจารย์ของคน เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของคน ครูบาอาจารย์มันก็ต้องมีหัวใจที่คอยชี้นำได้

โรงพยาบาลไม่มีหมอสักคนหนึ่ง เครื่องมือแพทย์เต็มไปหมด ทุกอย่างเต็มไปหมดเลย แต่ไม่มีใครรักษา มันก็เหมือนโรงพยาบาลร้าง ในสังคมสงฆ์เรานี่ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ที่รู้จริงเลย มันจะชักนำกันอย่างไร มันจะแก้ไขกันอย่างไร เวลาปฏิบัติไปมันเหมือนคนไข้ เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาแล้วใครจะรักษา หลวงปู่มั่นท่านบอก “หมู่คณะให้ปฏิบัติมา ปฏิบัติมา แก้จิตแก้ยากนะ แก้จิตแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ” ท่านท้าทายขนาดนั้น ผู้เฒ่าจะแก้โว้ย ใครภาวนามา จิตมันติดบอกมา จิตของใครติดว่ามา ท่านจะแก้ นี่โรงพยาบาลมีหมอ มีผู้อำนวยการ มีผู้ควบคุมดูแลอยู่

เราเลือกบวชแล้วนะ เราบวชมาในพุทธศาสนา เราบวชมาในการปฏิบัติด้วย เรามีอำนาจวาสนามาก มีอำนาจวาสนาเพราะคนอื่นเขาคิดอยากบวชเหมือนเรา เขาอยากทำเหมือนเรา เขาไม่มีโอกาส แต่เราบวชแล้วนี่ เราบวชแล้วเราทำอะไรอยู่ ทำเอาๆ นะ ทำดีๆ ทำของเรา ทำขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเรา จะเป็นประโยชน์กับเรา เขาส่งเสริมอยู่แล้วไม่ต้องห่วง เรื่องโลกไม่ต้องห่วง เอาความจริงของเรา ปฏิบัติของเรา เพื่อเป็นผลของเรา พรุ่งนี้จะเข้าพรรษา อธิฐานพรรษาแล้วเราตั้งใจ จงใจ ทำให้ได้สมความปรารถนา เอวัง